เมนู 
สรุปประเด็นร้อนจากกรณี IKEA งดรับเงินสด 3 สาขา
ช่วงนี้หลายคนอาจเห็นกระแสในโลกออนไลน์เกี่ยวกับเรื่องที่ IKEA แบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านชื่อดังจากสวีเดน ออกมาประกาศผ่านเพจว่า
ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2568 เป็นต้นไป จะไม่รับเงินสดใน 3 สาขา ได้แก่
อิเกีย บางนา
อิเกีย บางใหญ่
อิเกีย เชียงใหม่
เรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า ร้านค้าสามารถปฏิเสธไม่รับเงินสดหรือเงินโอนได้จริงเหรอ? แล้วแบบนี้ผิดกฎหมายไหม?
บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจแบบง่ายๆ ตามกฎหมายไทยกันครับ
เงินบาทใช้หนี้ได้ตามกฎหมาย แล้วทำไมบางร้านไม่รับ?
ตามกฎหมาย “เงินบาท” ถือว่าเป็นเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย หมายความว่า ถ้าเป็นกรณีที่เกิดหนี้ขึ้นแล้ว (เช่น ซื้อของไปก่อน ค่อยจ่ายทีหลัง) เจ้าหนี้ก็ต้องรับเงินสด
แต่สำหรับการซื้อของทั่วไป ที่ลูกค้าต้องจ่ายเงินก่อนแล้วถึงจะได้ของ แบบนี้ถือว่า ยังไม่มีหนี้ ดังนั้น ร้านค้าสามารถตั้งเงื่อนไขว่าจะรับเงินแบบไหนก็ได้ ถ้าแจ้งให้ลูกค้ารู้ล่วงหน้าอย่างชัดเจน
ร้านค้ามีสิทธิ แต่ต้องไม่เอาเปรียบลูกค้า
ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ร้านค้ากับลูกค้ามีสิทธิจะตกลงเงื่อนไขกันได้ เช่น จะจ่ายเงินผ่านแอป โอน หรือบัตรเครดิตก็ได้
แต่…ถ้าร้านค้าไม่เปิดทางเลือกอื่นให้เลย หรือไม่แจ้งเงื่อนไขให้ชัดก่อนซื้อ อาจถูกมองว่า “เลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม” กับลูกค้า ซึ่งผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค
แล้วร้านเล็กๆ ที่รับแต่เงินสดล่ะ?
ร้านค้าเล็กๆ หรือร้านอาหารที่รับเฉพาะเงินสด ก็มีเหตุผลที่เข้าใจได้ เช่น
ไม่มีงบติดตั้งเครื่องรูดบัตร
ไม่สะดวกใช้แอป
คุ้นเคยกับการใช้เงินสดมากกว่า
กรณีแบบนี้ ไม่ผิดกฎหมาย แต่อย่างน้อยควรแจ้งให้ลูกค้าทราบล่วงหน้า เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนหรือเสียอารมณ์ตอนจ่ายเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทยว่าไง?
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เคยพูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
“การจะรับหรือไม่รับเงินสด เป็นสิทธิของร้านค้า แต่ควรคำนึงถึงความสะดวกของลูกค้า และต้องแจ้งให้ชัดเจน”
พูดง่ายๆ ก็คือ ร้านค้าทำได้ แต่ต้องมีความรับผิดชอบ และไม่ทำให้ลูกค้าเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น
สรุปสั้นๆ: ร้านค้าเลือกวิธีรับเงินได้ แต่ต้องแฟร์
ในตอนนี้ ยังไม่มีกฎหมายที่บังคับให้ทุกร้านต้องรับเงินสดหรือเงินโอน ร้านค้ามีสิทธิเลือกวิธีรับชำระเงินได้ตามความสะดวก
แต่ต้องแจ้งให้ลูกค้ารู้ล่วงหน้า และไม่ควรทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าโดนเอาเปรียบ
ถ้าคุณเจอร้านค้าที่ปฏิเสธวิธีจ่ายเงินแบบไม่สมเหตุสมผล หรือไม่แจ้งให้ชัดเจน สามารถร้องเรียนได้ที่
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อให้ตรวจสอบและดำเนินการต่อไป